เจาะลึกเทรนด์การเรียนพิเศษออนไลน์ในยุค 2023
ปี 2022 ที่ผ่านมา เรียกได้ว่าเป็นปีที่เทรนด์การศึกษามีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมาย ทั้งการเรียนในห้องที่กลายมาเป็นการเรียนออนไลน์ และรูปแบบการเรียนการสอนที่ต้องมีการปรับให้เท่าทันกับยุคสมัย เรามาดูกันว่า เทรนด์การเรียนพิเศษออนไลน์ในปี 2023 จะมีอะไรที่เปลี่ยนไปบ้าง เพราะน้อง ๆ อาจจะได้รับประสบการณ์การเรียนรู้เหล่านี้ในอนาคตก็เป็นได้
1. Gamification
หากเป็นช่วงหลายปีก่อนหน้านี้ เมื่อพูดถึง ‘เกม’ เชื่อว่าทั้งคุณพ่อคุณแม่และคุณครูก็คงจะส่ายหน้าหนี แต่ไม่ใช่กับยุค 2023 อีกต่อไป เพราะการเรียนพิเศษจะถูกพัฒนาให้กลายเป็นรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า ‘Gamification’ ซึ่งก็คือการเรียนรู้ที่ควบคู่ไปกับการเล่นเกม โดยมีจุดมุ่งหมายคือการสร้างความสนุกสนานและทำให้ผู้เรียนเกิดแรงบันดาลใจในการเรียนรู้ ข้อดีก็คือ การเรียนรู้ในรูปแบบนี้ จะทำให้ผู้เรียนรู้สึกอยากที่จะเรียนรู้ต่อไปอย่างไม่สิ้นสุด พร้อมทั้งช่วยเสริมสร้างกระบวนการคิด แก้ไขปัญหา เพื่อให้ได้รับรางวัล (Reward) สะสมคะแนน (Point) และเลื่อนขั้น (Level Up) เสมือนกับการเล่นเกมจริง ๆ ซึ่ง Gamification นั้นสามารถนำไปปรับใช้ได้ในหลากหลายวิชา และยังนำไปใช้ในการเรียนการสอนได้ในทุกระดับชั้นอีกด้วย
2. Virtual Reality
Virtual Reality หรือ VR เป็นเทคโนโลยีที่เริ่มมีการนำมาใช้อย่างแพร่หลายในปัจจุบัน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือเกม VR ที่มอบความตื่นเต้นให้ผู้เล่นด้วยประสบการณ์เสมือนจริง ราวกับได้เข้าไปเป็นตัวละครในเกม ซึ่งในวงการเรียนพิเศษเองก็ได้มีการนำเทคโนโลยี VR มาประยุกต์ใช้เพื่อมอบประสบการณ์ใหม่ในการเรียนรู้ให้กับน้อง ๆ และสร้างความสนุกสนานให้กับผู้เรียนได้เหนือกว่าการเรียนแบบเดิม ๆ นอกจากนี้ยังเป็นการทำลายขีดจำกัดของการศึกษา ด้วยการเปิดโอกาสให้ผู้เรียน ได้สัมผัสกับเหตุการณ์เสมือนจริง ไม่ใช่แค่การเรียนด้วยทฤษฎีเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป
3. Nano-Learning
อุปสรรคใหญ่ของการเรียนพิเศษในยุคปัจจุบันนี้ก็คือ การที่ผู้เรียนเกิดความรู้สึกเหนื่อยล้าจากการเรียนที่มีเนื้อหาเข้มข้น และกินเวลายาวนาน ทั้งยังรู้สึกเบื่อหน่ายจากการเรียนออนไลน์ที่ต้องจ้องมองแต่หน้าจอตลอดทั้งวัน โดยที่แทบไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับอาจารย์หรือเพื่อน ๆ ด้วยเหตุนี้ จึงได้มีการพัฒนาการเรียนรู้แบบ Nano-Learning ซึ่งให้ผู้เรียนได้รับเนื้อหาเพียงระยะเวลาสั้น ๆ ต่อครั้ง ด้วยรูปแบบที่หลากหลาย เช่น เกม วิดีโอ แบบฝึกหัด หรือแอปพลิเคชัน วิธีนี้จะช่วยเปลี่ยนการเรียนการสอนที่ยากและกินเวลานานเป็นการเรียนรู้ในระยะเวลาที่จำกัด ช่วยให้เด็กมีความสนุก ผ่อนคลาย และสามารถรับเนื้อหาได้มากขึ้น
4. Video-Assisted Learning
หลังจากที่โลกต้องเผชิญกับสถานการณ์ COVID-19 รูปแบบการใช้ชีวิตของเราก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิตประจำวัน การทำงาน หรือแม้แต่การเรียน ที่ถูกเปลี่ยนไปเป็นรูปแบบออนไลน์เกือบ 100% ซึ่งในการเรียนพิเศษเองก็ได้มีการใช้สื่อการสอนรูปแบบวิดีโอเข้ามาทดแทนการเรียนในห้องมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการที่อาจารย์อัดวิดีโอไว้เอง และให้ผู้เรียนเลือกดูวิดีโอได้ในช่วงเวลาที่สะดวก หรือการใช้สื่อ Animation ในรูปแบบของ Infographic หรือภาพการ์ตูนเคลื่อนไหว เข้ามาช่วยสร้างแรงบันดาลใจ และเพิ่มความเข้าใจในการเรียน ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้ผู้เรียนสามารถเข้าถึงการเรียนได้จากทุกที่ ทุกเวลา หมดปัญหาเรื่องเวลาและระยะทางที่เป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้
5. Personalized Learning
เทรนด์การเรียนพิเศษแบบ Personalized Learning เป็นเทรนด์ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในช่วงปี 2022 ที่ผ่านมา ซึ่งเทรนด์นี้เป็นรูปแบบการเรียนที่ผู้เรียนสามารถเลือกเรียนรู้ได้เองตามความถนัด ความต้องการ และความสนใจ ด้วยแนวคิดที่ว่าผู้เรียนแต่ละคนมีความถนัด และความชอบที่ต่างกันไป หากเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเลือกเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง ก็จะเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียน และช่วยให้ผู้เรียนได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น
หากว่าน้อง ๆ ต้องการเรียนพิเศษแบบเน้นในสิ่งที่เราชอบหรือมีความถนัด เก่งขึ้นในแบบที่เป็นตัวเอง สามารถลงเรียนคอร์สติวออนไลน์ของ MonkeyEveryday ที่ตรงกับความต้องการ สามารถออกแบบคอร์สเรียนเฉพาะบุคคล วางแผนการเรียน และวิเคราะห์จุดอ่อน-จุดแข็ง เพื่อเพิ่มความรู้ความเข้าใจในวิชาต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ต้องกลัวว่าจะเรียนไม่ทัน หรือเรียนไม่เข้าใจ
6. การติวออนไลน์ A-Level
A-Level หรือ Applied Knowledge Level คือ การสอบวัดความรู้เชิงวิชาการ หรือวิชาสามัญเดิมนั่นเอง โดยจะมีการปรับแนวทางการออกข้อสอบใหม่ให้เน้นการประยุกต์ สามารถนำไปใช้งานได้จริง ประกอบด้วยวิชาดังต่อไปนี้
- คณิตศาสตร์ประยุกต์ 1 (พื้นฐาน + เพิ่มเติม)
- คณิตศาสตร์ประยุกต์ 2 (พื้นฐาน)
- วิทยาศาสตร์ประยุกต์
- ฟิสิกส์
- เคมี
- ชีววิทยา
- ภาษาไทย
- สังคมศึกษา
- ภาษาอังกฤษ
- ภาษาต่างประเทศอื่น ๆ ได้แก่ ฝรั่งเศส เยอรมัน จีน ญี่ปุ่น บาลี เกาหลี
การสอบ A-Level จะมีคะแนนเต็มวิชาละ 100 คะแนนเท่ากัน มีทั้งการตอบแบบปรนัยและอัตนัย ใช้เวลาในการสอบวิชาละ 1 ชั่วโมง 30 นาที ซึ่งน้อง ๆ จะต้องเตรียมตัวบริหารเวลาในการทำข้อสอบในแต่ละวิชาให้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ หากน้อง ๆ คนไหนอยากรู้แนวข้อสอบหรือต้องการติวออนไลน์ ข้อสอบ A-LEVEL ก่อนใคร หรือต้องการคอร์สเรียนที่ให้ได้ครบ! ทั้งความรู้ ความสนุก ความสะดวก และสามารถออกแบบคอร์สที่ใช่สำหรับเรามากที่สุดแล้วล่ะก็.. สามารถปรึกษาขอรายละเอียดเพิ่มเติม กับพี่มังกี้ได้ทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์: https://monkeyeveryday.com/ หรือ Facebook Fanpage: https://www.facebook.com/MonkeyEverydayOfficial หรือติดต่อได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 094-903-2323ได้เลยตั้งแต่วันนี้